Monday, 29 April 2024
วีวี่ เซเลบภูเขา

บ้านเทพนิยาย!! หมู่บ้าน Foroglio กลางหุบเขา Bavonatal แห่งเทือกเขาแอลป์ สถานที่สุดมหัศจรรย์ เหมือนหลุดไปยังโลกเทพนิยาย

เมื่อมีเวลาได้พักร้อน หากวี่ไม่เลือกไปต่างประเทศตั้งแต่แรก วี่ก็ไม่มีแพลนใดๆ เลย สาเหตุก็เพราะในสวิสมีสภาพอากาศค่อนข้างแปรปวนและไม่แน่นอน ถึงแม้พยากรณ์อากาศของสวิสอย่าง MeteoSwiss จะทำนายได้แม่นยำ แต่ก็แม่นยำเพียง 1-2 อาทิตย์เท่านั้น ดังนั้นหากวี่จะไปพักร้อนในประเทศวี่ก็จะจองเอาในตอนนาทีสุดท้ายเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกันค่ะ วี่เห็นสภาพอากาศแล้วก็เกิดความไม่แน่ใจ เลยตัดสินใจจองห้องในวันที่ออกเดินทางซะเลย สถานีปลายทางของวี่คือ เมือง Locarno รัฐ Tessin หรือ Ticino เพราะทางตอนใต้ของเมืองนี้ติดกับชายแดนอิตาลี อีกทั้งที่นี่มีอากาศค่อนข้างร้อน ถึงแม้ว่าจะมีเมฆหรือฝนตก อากาศที่สัมผัสได้ก็จะไม่หนาวเท่าฝั่งบ้านของวี่นั่นเองค่ะ

แรกเริ่มเดิมทีวี่มีแพลนว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปล่องเรืองที่ทะเลสาป Lago Maggiore แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาตั้งแต่เช้า จึงต้องจำใจเปลี่ยนแผนกะทันหัน (แอบเสียดายเหมือนกันนะเนี่ย) ครั้งที่แล้วที่วีมีโอกาสได้มาที่รัฐ Tessin วี่ได้เขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหุบเขา Verzascatal หรือ Verzasca Valley เอาไว้ (ตามอ่านได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2021061308) สำหรับทริปนี้วี่ก็มาที่หุบเขาอีกเช่นเดิม แต่ครั้งนี้หุบเขาที่วี่จะพาไปเป็นหุบเขา Bavonatal หรือ Bavona Valley ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่มหัศจรรย์อย่างมาก ไม่แพ้ที่ Verzascatal กันเลยทีเดียว

การเดินทางมาที่ Bavonatal หรือ Bavona Valley ถ้าขับรถยนต์จาก Locarno ก็จะใช้เวลา 45 นาทีโดยประมาณ แต่หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศโดยการขึ้นรถโดยสารประจำทางก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยนั่งรถบัสสีน้ำเงินสาย 315 จากหน้าสถานีรถไฟ Locarno ไปลงที่ป้าย Bignasco จากตรงนี้เราจะต่อรถบัสสีเหลือง (Postauto) สาย 333 เพื่อไปลงที่หมู่บ้าน Foroglio แต่ขอเตือนกันไว้สักนิดว่ารถสายนี้จะวิ่งไม่กี่เที่ยวต่อวัน ต้องดูเวลากันให้เป๊ะๆ เลยนะทุกคน

พอมาถึงหมู่บ้าน Foroglio ก็ทำเอาวี่เซอร์ไพรส์หนักมาก เพราะที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เหมือนพาเราเข้าไปสู่โลกแห่งเทพนิยาย เป็นหมู่บ้านที่เสมือนหยุดกาลเวลาเอาไว้ เพราะบ้านของที่นี่สร้างด้วยหิน แถมยังมีฉากหลังเป็นน้ำตกที่ชื่อเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ นั่นก็คือ น้ำตก Foroglio โดยน้ำตกนี้มีความสูงถึง 110 เมตร ใครที่มาเที่ยวที่นี่ก็ต่างต้องการเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น (สวยมากจริงๆ)

การเดินทางแสนพิเศษ กับเส้นทางชลประทานประวัติศาสตร์แห่ง 'Wallis'

วันนี้วี่จะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว Sion (ซียง หรือ ซียอง) เป็นเมืองหลวงของ Wallis (วาเล หรือ วาลิส) ตั้งอยู่ในภูมิภาค Romandie (รอม็องดี) ซึ่งใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก เมืองซียองตั้งอยู่กลางหุบเขาขนาดใหญ่ในเทือกเขาแอลป์ และเป็นแหล่งผลิตไวน์มากเป็นอันดับสามในสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก พื้นที่ตรงนี้อากาศจะค่อนข้างร้อนกว่าภูมิภาคอื่น 

วี่ชอบเที่ยวไปเรื่อยๆ ชอบ hiking ดังนั้นไม่ว่าจะไปพักร้อนที่ไหนก็จะหาทางเดินแปลกๆใหม่ๆ เสมอ พอดีวี่ได้หนังสือมาเล่มนึงซึ่งรวมสถานที่ว๊าวๆ หลายที่ในสวิส แล้วก็ได้สะดุดตากับสถานที่หนึ่งคือ Grand Bisse de Lens เป็น historic irrigation channels of the Valais หรือช่องทางชลประทาน ประวัติศาสตร์ของ Valais (เรียกช่องทางชลประทานได้รึป่าวนะ) Grand Bisse de Lens สร้างเมื่อปี 1450 เส้นทางนี้มีคำเตือนว่าเมื่อจะเดินไม่ควรมีความเวียนหัวใดๆ และไม่ควรมีอาการกลัวความสูง เพราะบางช่วงบางตอนคือไม่มีที่ให้จับ ทางเดินแคบมากที่สุดและบางช่วงบางตอน เหมือนเราเดินบนผา มองลงไปตัดตรงลงพื้นเลย คือไม่ต้องนึกว่าถ้าตกไปจะสภาพเป็นแบบไหน 

วี่ขับรถไปจอดที่ เมือง Chermignon d’en Bas แล้วนั่งรถบัสไปลงที่เมือง Lens วี่เริ่มเดินจากตรงนี้แล้วกลับมาที่เมือง Chermignon d’en Bas เส้นทางประมาณ 7.5 กิโลเมตร ช่วงที่สวยที่สุดน่าจะเป็นจากเมือง Lens ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวี่ไปจนถึงประมาณกิโลเมตรที่ 3 

ผจญภัยใน ‘Bergün’ รัน ‘เลื่อน’ ท้า ‘ลมหนาว’ ความสนุกแบบ ‘สุดเสียว' แค่ครั้งเดียว​ เกินพอ!! 

ถ้าพูดถึงอากาศหนาวที่สวิตเซอร์แลนด์ เชื่อว่าหิมะ เป็นสิ่งแรก ๆ ที่คุณผู้อ่านจะต้องนึกถึงและแน่นอนว่าหากมีหิมะ แล้วกิจกรรมสุดฮิตที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือการ ‘เล่นเลื่อน’ ซึ่งจริง ๆ แล้ว วีวี่ เองมีแพลนไว้ ว่าอยากไปเล่นเลื่อนมานานมากแล้ว แต่ก็มัวรอจังหวะเหมาะ ๆ อากาศดี ๆ พอได้เวลาประจวบเหมาะก็วางแผนปักหมุด เตรียมมุ่งหน้าไปที่ Prättigau ซึ่งจากการหาข้อมูลระยะทางก็ไม่ใกล้ ไม่ไกล เพียง 12 กิโลเมตร 

แต่ต้องขอบอกก่อนว่าที่ Prättigau เขามีมาตรการป้องกันโควิด 2G ที่ค่อนข้างแน่นหนาพอสมควร (ณ วันที่ 23 มกราคม)  ซึ่งสถานที่นี้ก็ยินดีต้อนรับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว หรือผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วรักษาหายขาดแล้วเท่านั้น และแน่นอนว่างานนี้ วี่ต้องกินแห้วไปตามระเบียบ เพราะวี่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เรียกได้ว่า แพลนล่มไม่เป็นท่าเลยสิคะท่านผู้อ่าน

แต่อย่าคิดว่างานนี้จะทำให้วี่ยอมแพ้! ที่นี่ไปไม่ได้ เราก็หาที่ใหม่สิครับผมมม วี่ก็ได้หาข้อมูลวางแพลนใหม่อีกรอบอย่างว่องไว และก็ดันไปนึกถึง Bergün อีกสถานที่ ที่จะสานฝันการเล่นเลื่อนของวี่ให้เป็นจริง! แต่ต้องบอกก่อนว่า Bergün เนี่ยวี่เคยไปเยือนมาแล้ว แต่ก็นะ 10 กว่าปีมาแล้วนานจนจำความรู้สึกไม่ได้แล้วว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไร และน่าตื่นเต้นอย่างไรบ้าง

พอหาสถานที่แพลนพร้อม ข้อมูลพร้อม เราก็มุ่งหน้าไปที่ Bergün กันเลย โดยวิธีการเดินทางมายังที่นี่วี่เลือกที่จะขับรถมาเอง ถึงปุ๊บก็หาที่จอดที่สถานีรถไฟเลย (ราคาไม่แพงด้วย) นอกจากนี้ตรงสถานีรถไฟ Bergün เนี่ยยังมีที่ให้เช่าเลื่อนด้วยนะ แต่ว่าเรายังไม่เช่าตั้งแต่ตรงนี้หรอกนะ ต้องบอกเลยว่าเราโชคดี ที่มีแพลนและหาข้อมูลมา วี่เลยได้จองตั๋วรถไฟไว้ที่สถานีปลายทางตรงจุดเล่นเลื่อน คือ สถานี Preda เลยไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นเพื่อเช่าเลื่อน โดยการเดินทางก็แสนง่าย เราก็นั่งรถไฟไปที่ Preda แล้วนั่งเลื่อนกลับไป Bergün ด้วยระยะทาง 6 กิโลเมตร

ทีนี้เรามาคุยกันเรื่องเส้นทางเล่นเลื่อนกันดีกว่าต้องขอบอกเลยว่า ‘เส้นทางเล่นง่ายมาก’ แทบไม่ต้องเอาขาแตะพื้นเลย เพราะเลื่อนที่เช่าคือลื่นปรื๊ดมากกกก แถมต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของวี่ที่เราไปค่อนข้างเช้า คนเลยยังน้อย ทำให้พื้นที่ไปเล่นยัง Fresh อยู่มาก ทำให้ยังไม่ค่อยมีรอยทำให้ควบคุมเลื่อนให้ไปซ้ายขวาหรือเช้าโค้งได้ง่ายมาก ทำให้เล่นเพลินกันจุก ๆ ไปเลยถึง 2 รอบ พอรอบ 2 มาถึงข้างล่าง ตรงจุดสิ้นสุดจะมีกระเช้าต่อไปที่ Darlux 

ซึ่งจริง ๆ แล้วเพื่อนวี่ เองก็เล่นเลื่อนลงมาได้อีกเส้นทาง แต่ถ้าใครไม่ชอบ จากจุดสิ้นสุดนี้ก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Bergün เพื่อกลับไปเล่นเลื่อนที่ Preda ได้อีก แต่วี่เห็นว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ขอนั่งกระเช้าห้อยขาต่อไปที่ Darlux แล้วเล่นเลื่อนลงมาที่ Bergün ซะหน่อยแล้วกันจะได้มาไม่เสียเที่ยว 

แต่นั่นแหละค่ะความอยากไปสุดทุกทางของวี่ ต้องขอบอกเลยว่า ‘แค่ครั้งเดียวพอ’! เพราะเส้นทางเล่นเลื่อนสุดชิว กลายเป็นเล่นเลื่อนแบบท้าตาย! ต้องขออธิบายก่อนว่าระยะทางการเล่นเลื่อนลงมาที่ Bergün ใช้ระยะทางประมาณ 4.5 กิโลเมตร ซึ่งตลอดทางขอบอกเลยว่า ‘ทางชันขั้นสุด’ 

แถมทางที่เล่นยังเป็น Shadow Side คือ แดดเข้าไม่ถึง แถมพื้นยังเป็นน้ำแข็ง และพอความชันบวกน้ำกับแข็งที่พื้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ‘ลื่นแบบเบรกไม่อยู่’! ถึงขนาดต้องเอาเท้าสองข้างลงเบรกตลอด แต่แม้ว่าจะพยายามเบรกตลอดทางแล้ว ก็ยังเร็วจนขนลุกเลยทีเดียว 

‘Christmas Market’ ตลาดคริสต์มาส บรรยากาศที่น่าหลงใหลแห่งปี

เดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ ถ้าจะไม่พูดถึงเทศกาลคริสต์มาสก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เราจะได้กลิ่นอายของเทศกาลนี้ที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนมา ในดินแดนสวิสทุก ๆ ที่ก็จะมีตลาดคริสต์มาส ขนาดเล็กหรือใหญ่แตกต่างกันไปตามแต่ละหมู่บ้านหรือตามแต่เมืองจะรังสรรค์ วันที่จัดก็จะกระจายแตกต่างกันออกไป วี่อาจไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวตลาดคริสต์มาสที่อื่น ๆ มากเท่าไหร่ เพราะส่วนมากจะทำงานและสิบปีหลังมานี่วี่ขายของเองในตลาดคริสต์มาสของหมู่บ้าน เลยอยากมาเล่าจากประสบการณ์ของตัวเองให้เพื่อน ๆ ฟัง

Concept ของตลาดคริสต์มาสก็น่าจะเป็นร้านรวงต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกงานแฮนด์เมด ขนมอบ หรือเป็นของขึ้นชื่อของพื้นที่นั้น หรือจะเป็นเครื่องดื่มร้อน ๆ ทั้งหลาย ทั้งมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อที่สุดก็น่าจะเป็นไวน์ร้อนนี่แหละ 

ในออสเตรีย กรุงเวียนนา เริ่มมีตลาดคริสต์มาสมาตั้งแต่ปี 1296 และที่เยอรมัน เมืองมิวนิก เกิดขึ้นในปี 1310 ส่วนที่สวิสวี่หาข้อมูลไม่เจอว่าเริ่มมีตั้งแต่เมื่อไหร่ ถามชาวนาอินดี้ (สามีของวี่) ได้ความว่า “ผมจำไม่ได้ว่ามีตั้งแต่เมื่อไหร่แต่น่าจะหลังจากปี 1990 ตอนผมเป็นเด็ก ๆ ที่หมู่บ้านเรายังไม่มี” (ชาวนาอินดี้เกิดปี 1961) แต่ตลาดคริสต์มาสที่สถานีรถไฟซูริค ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 1994 ซึ่งมีต้นคริสต์มาสสูง 15 เมตรที่ประดับตกแต่งด้วยคริสตัล Swarovski มากถึง 7,000 ชิ้น ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์และเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงมีร้านค้ามากมายถึง 150 ร้านเลยทีเดียว เรียกว่าเดิน ดื่ม กิน ช็อปกันให้มันสุด ๆ ไปเลย

ส่วนตลาดคริสต์มาสแถวบ้านวี่เป็นงานเล็ก ๆ มีร้านรวงเพียง 25 - 35 ร้านเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกของ Hand Made ประเภทงานไม้ งานถัก เครื่องประดับ มีอาหารประจำท้องถิ่น เช่น ไส้กรอก แฮม แยมผลไม้ ซอสสำหรับสปาเกตตี้ต่าง ๆ และนอกเหนือจากนี้ยังมีอาหารขายหลากหลาย เช่น Raclette (รัคเรท) ชีสร้อน ๆ ยืด ๆ และไส้กรอกย่าง

ตัววี่เองเริ่มขายมาตั้งแต่ปี 2011 ตอนแรกใจเพียงแค่นึกสนุก ในปีแรกเลยเริ่มต้นขายแค่ข้าวแกง พะแนง ปอเปี๊ยะทอด กาแฟ และเหล้าร้อนอย่างที่เขาฮิต แต่ในปีถัด ๆ มาไม่ได้แค่นึกสนุกอย่างเดียวสิ เพราะรายได้โอเคมาก (ฮ่า ๆ ๆ ๆ) เลยเริ่มจริงจังมาขายเป็นอาหาร 4 อย่าง ปอเปี๊ยะ เหล้าร้อน และไวน์ร้อน โดยหมู่บ้านวี่ตลาดนี้จะมีแค่วันเดียว ตั้งแต่เวลา 12:00 - 19:00 น. แต่หกโมงเย็นคนก็เริ่มเก็บร้านกันแล้ว เรียกว่าขายหมดเกลี้ยงทุก ๆ ปี ที่สำคัญเลยคือคนที่นี่ชอบกินอาหารไทยกันมาก

เทศกาลประกวดวัว “Viehschau” ประเพณีที่น่าหวงแหนของ...สวิตเซอร์แลนด์

เทศกาลประกวดวัว จริง ๆ แล้วสมัยก่อน เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงยุคกลางตอนปลายจนถึงยุคสมัยใหม่ การเลี้ยงวัวเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่โดดเด่นในภาคกลางของสวิตเซอแลนด์ ดังนั้นตลาดปศุสัตว์ในท้องถิ่นจะมีบทบาทเป็นอย่างมาก รวมถึงสหกรณ์การเพาะพันธุ์โคนมในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น งานเทศกาลประกวดวัวนี้ แต่ละที่จะจัดในช่วงเวลาที่แตกต่างกันเริ่มจากกันยายน ไปจนถึงตุลาคม 

งาน Vieh Ausstellung (ฟี เอ๊าซชเตลลุ่ง) หรือ Viehschau (ฟีเชา) ในภาษาเยอรมัน ส่วนในภาษาสวิสไม่มีภาษาเขียน พวกเราชาวนาเรียกกันว่า “เฟ อู๊ซชเตลลิค” (วีวี่พูดคำนี้ ในกลุ่มที่ทำงานเพื่อน 5 คน ซึ่งมีวีวี่กับเพื่อนอีกคนเท่านั้นจะรู้ว่าหมายคืออะไร จึงอาจจะเป็นส่วนน้อยหรือชาวนาที่อาจจะทราบความหมายของมัน) 

ซึ่งงานนี้หลัก ๆ สมัยก่อนนอกจากจะเป็นตลาดซื้อ - ขายแม่วัวพันธุ์ดี หรือลูกวัวที่มาจากแม่พันธุ์ดี ๆ หรือพ่อวัวเพื่อเอามาไว้ผสมพันธุ์แล้ว ยังมีการแข่งขัน ‘โชว์วัว’ คือเอาวัวของตัวเองมาโชว์กันในงาน เพื่อตามหาแม่พันธุ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย แม้ว่าการเกษตรจะสูญเสียความสำคัญไปมากตั้งแต่ช่วงปี 1950 แต่ “เฟ อู๊ซชเตลลิค” ก็ยังคงเป็นที่พบปะทางสังคมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ได้รับความนิยมอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทของสวิตเซอร์แลนด์ตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันไม่เพียงแต่ดึงดูดใจชุมชนชาวเกษตรกรรมเท่านั้น แต่รวมไปถึงส่วนอื่น ๆ ของประชากรด้วย 

ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในการเพาะพันธุ์วัวในสวิตเซอร์แลนด์ คือตลาดวัวที่รัฐ Zug (ซูก) ที่มีลูกวัวตัวผู้มากถึงประมาณ 250 ตัวเลยทีเดียว จัดขึ้นโดย Braunviehzuchtverband (คล้าย ๆ สหกรณ์ในไทยบ้านเรา) ตั้งแต่ปี 1898 และจะจัดขึ้นวันพุธ และวันพฤหัสบดีในสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ซึ่งจะมีเกษตรกร ชาวนา ตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อ หลั่งไหลมาจากทุกส่วนของประเทศรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน และถึงแม้จะมีการเปิดตัวของการผสมเทียมในปี 1960 ตลาดซื้อขายเพาะพันธุ์วัวจะสูญเสียความสำคัญเชิงหน้าที่บางอย่างสำหรับพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นเทศกาลที่สำคัญในปฏิทินของชาวรัฐ Zug ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ นายธนาคาร พ่อค้า หรือชาวนา 

มหัศจรรย์แห่ง “น้ำตกไรน์” (Rheinfall) 1 ใน 3 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป!!

วันนี้วี่จะมาเล่าเรื่อง “น้ำตกไรน์” (Rheinfall) ให้ฟัง ไม่ว่าใครจะไปจะมาวี่จะต้องพามาที่น้ำตกนี้เสมอ เหตุผลไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่เพราะว่ามันอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ เดินทางง่าย - ค่าตั๋วถูก ซึ่งปกติวี่จะนั่งรถไฟไปลงที่สถานี “Schloss Laufen am Rheinfall” ตรงฝั่งปราสาทจะมีเส้นทางเดินเลียบน้ำตกจากตัวปราสาท จุดนี้เป็นจุดที่เราจะได้อยู่ใกล้น้ำตกที่สุด เสียค่าเข้า 5 ฟรังค์ (ประมาณ 180 บาทไทย) ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเลยถ้าแลกกับความประทับใจของบรรยากาศตลอดเส้นทาง ส่วนอีกทางเป็นทางที่จะมาลงที่ป้าย Neuhausen Rheinfall ซึ่งเส้นนี้จะเป็นทางที่เห็นวิวด้านหน้าน้ำตก 

น้ำตกไรน์ (Rheinfall) เป็นน้ำตกที่เกิดจากแม่น้ำไรน์ ไปทางเหนือของ Zürich บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐ Schaffhausen และรัฐ Zürich เป็น 1 ใน 3 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อีกสองที่คือ Sarpsfossen ที่นอร์เวย์ และ Dettifoss ที่ไอซ์แลนด์ 

น้ำตกไรน์ อยู่ระหว่างเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Neuhausen am Rheinfall (นอยเฮาเซ่น อัม ไรน์ฟอล) กับ เมือง Laufen-Uhwiesen (เลาเฟ่น-อูฮ์วีเซ่น) ใกล้ ๆ เมือง Schaffhausen (ชาร์ฟเฮ้าเซ่น) ทางตอนเหนือของสวิส น้ำตกไรน์มีความพิเศษตรงที่มีน้ำเป็นสีเขียวมรกตไหลค่อนข้างเชี่ยวกระทบกับแก่งหินจนเป็นฟองสีขาวและเกิดเป็นละอองน้ำที่กระเซ็นไปทั่ว เป็นภาพที่สวยจับใจมาก ๆ บางครั้งยังมีรุ้งกินน้ำแสนสวยมาอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนได้ถ่ายภาพที่น่าประทับใจ และยังได้สูดอากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์จากต้นไม้ใหญ่ที่เรียงรายอยู่ทั่วบริเวณอีกด้วย

แม่น้ำไรน์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 14,000 ถึง 17,000 ปีก่อนในช่วงยุคน้ำแข็ง มีความสูง 23 เมตรและกว้าง 150 เมตร เกิดจากการละลายของหิมะ ในฤดูหนาวมีกระแสน้ำไหล 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนในฤดูร้อนมีกระแสน้ำไหล 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว เห็นน้ำเชี่ยวแบบนี้มีปลาด้วยนะ แต่มีแค่ปลาไหลเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวไปตามซอกหินในน้ำที่เชี่ยวแบบนี้ได้ ถ้าใครอยากสัมผัสบรรยากาศน้ำตกไรน์อย่างใกล้ชิด ก็สามารถขึ้นเรือข้ามไปเกาะกลางน้ำตก ที่มีธงชาติสวิสอยู่บนยอดโขดหินได้ 

วัดกันที่ “Chilbi” (คิลบี้) เทศกาล ‘งานวัด’ สไตล์สวิส

งาน Chilbi (คิลบี้) ในภาษาสวิสหรือ Kirchweih (เคีรยคไวห์) ในภาษาเยอรมัน เป็นอารมณ์คล้าย ๆ งานวัดของไทยเรา เป็นเทศกาลที่น่าจะมีมาตั้งแต่ยุคกลางปี 1330 โอ้โห! 690 ปีแล้วนะ ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ Wetzikon จากครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่งและมีอำนาจในสมัยนั้น เป็นผู้ที่สืบทอดโบสถ์โดยการนำเอาญาติพี่น้องในตระกูลมาเป็นบาทหลวงเพื่อรักษาอำนาจให้คงอยู่ ได้มีการเฉลิมฉลองการรับบาทหลวงเป็นครั้งแรกสำหรับโบสถ์นี้ และนับแต่นั้นก็มีการเฉลิมฉลองแบบนี้ทุก ๆ ปีจนถึงปัจจุบัน

ส่วนในปี 1334 Bischof von Konstanz เป็นผู้มีตำแหน่งสูงทางศาสนาในภูมิภาค Konstanz ก็ได้ทำการเฉลิมฉลอง Chilbi ขึ้นหลังจากที่มีการสร้างโบสถ์เสร็จสิ้น โดยทำการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์หลังจากวันที่พระแม่มาเรียขึ้นสู่สวรรค์ หรือวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคม ซึ่งเมือง Wädenswil (แวเดนสวิล) เมืองแถวบ้านวี่ก็ยังจัดงานในช่วงเวลานี้อยู่ 

แต่ก่อน Chilbi เป็นเพียงแค่การเฉลิมฉลองธรรมดา ๆ เท่านั้น และ Chilbi Wetzikon เริ่มเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ผู้คนจากหมู่บ้านโดยรอบจะแห่แหนมาเที่ยวงาน ในปี 1877 เป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกว่าในงานมีม้าหมุน และในปี 1947 เริ่มมีรถบั๊มพ์เข้ามา ต้นศตวรรษที่ 20 วิวัฒนาการต่าง ๆ เริ่มเข้ามามีบทบาท งาน Chilbi ก็มีการพัฒนาเช่นกัน มีเครื่องเล่นเครื่องร่อนมากมาย เครื่องเล่นต่าง ๆ ก็เริ่มมีความเร็ว แรง และน่าหวาดเสียวมากขึ้น 

วี่มาสวิตเซอร์แลนด์ครั้งแรกในปี 2001 ตอนที่ได้มางานวัดครั้งแรกรู้สึกตื่นเต้น นึกไปถึงงานวัดหลวงปู่อี๋ที่บ้านที่สัตหีบ บรรยากาศคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ตัวแสดงเปลี่ยนไปเป็นคนสวิส วัยเด็กก็ตื่นเต้นกับม้าหมุน วัยรุ่นก็สนุกสนานกับเครื่องเล่นหวาดเสียวต่าง ๆ กลุ่มเพื่อนสาวที่สนุกสนานเจี๊ยวจ๊าว คู่แฟนที่เดินจับมือเคียงกัน วัยทำงานก็จะมาหาอะไรกิน นั่งดื่มพูดคุยสังสรรค์กันตามประสา

งานที่เมือง Wädenswil จัดงาน Chilbi ติดกับทะเลสาบซูริคและบริเวณสถานีรถไฟ วี่จะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ทุก ๆ ปีเป็นธรรมเนียมที่ทำตั้งแต่มาสวิสปีแรกจนถึงตอนนี้ เดินวนไปโดยรอบหาของกิน เล่นเกมปาลูกโป่งบ้าง ยิงปืนบ้าง ปีแรก ๆ ได้ตุ๊กตามาเต็มบ้านเลย เมื่อเดินจนเมื่อยขาก็จะมีซุ้มงานอยู่หลายจุด มีที่นั่งให้คนมานั่งกินนั่งดื่มสังสรรค์พูดคุยกันแต่อาจคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนะเพราะเสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวมาก ๆ สมัยก่อนงานอาจมีเพียงแค่วันอาทิตย์ แต่ในปี 1958 ก็เริ่มจัดงานเป็นวันเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ซึ่งในวันเสาร์งานอาจมีถึงตีสองตีสามเลยทีเดียวกว่าคนจะซา ตามเต็นท์นั่งบางทีมีคนนั่งดื่มกันถึงตีสี่ตีห้าเลยทีเดียว 

ส่วนปีที่แล้วเป็นปีที่แปลกใหม่สำหรับพวกเรามาก เพราะไม่มีงาน Chilbi อย่างเช่นปกติ จะมีเพียงชิงช้าสวรรค์เพื่อเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของงานเท่านั้น ปีนี้ก็เช่นกันแต่อาจจะมีร้านขนม ร้านยิงปืน ร้านปาลูกโป่งอยู่สองถึงสามร้านเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้ว เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดนั่นแหละ บางงานที่ใหญ่หน่อยเค้าจะจัดงานไว้ 2 โซน คือโซนร้านค้าซึ่งเปิดใครเข้าไปก็ได้ กับโซนเครื่องเล่น ซึ่งโซนเครื่องเล่นนี้ต้องมีใบ certificate ว่าฉีดวัคซีนแล้ว แต่ถ้าไม่มี เขามีจุดบริการตรวจโควิดฟรีหน้างานด้วยนะ 

บางครั้งวี่ก็รู้สึกว่าโลกใบนี้แม้จะกว้างใหญ่แค่ไหน แต่หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่าง มันช่างคล้ายกันอย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ เพราะแม้เอเชียและยุโรปจะห่างไกลกันแค่ไหน แต่ก็มีสิ่งที่คล้ายกันอยู่หลาย ๆ อย่าง เช่นอย่างงาน Chilbi ที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับโบสถ์และศาสนา ซึ่งก็คล้ายกับไทยเราที่งานวัดก็เกี่ยวข้องกับวัดและศาสนาเช่นเดียวกัน โลกที่ดูเหมือนกว้างใหญ่และมีความแตกต่างในหลาย ๆ ด้าน หรือที่จริงแล้วมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่มาตลอด…


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

มรดกโลก “อเลิท์ซ กลาเซียร์” (Aletsch Glacier) มหาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ธรรมชาติสวยสะกดสายตา เติมเต็มความสุขทางใจ

“Aletsch glacier” (ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์ กลาเซียร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) อยู่ในรัฐ Wallis (วาลิส) มีความยาวถึง 23 กิโลเมตรกินพื้นที่ตั้งแต่ Jungfrau มาจนถึง Valias (Wallis) ช่วงที่หนาที่สุดของธารน้ำแข็งคือลึกประมาณ 900 เมตรเลยนะ แถมเจ้าธารน้ำแข็ง Aletsch ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 200 เมตรต่อปี แบบที่เราไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ 

การเดินทางก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง  
>> 1.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Fiesch ไปที่ Fiescheralp และต่อไปที่ยอดเขา Eggishorn จากตรงนี้ถ้าอากาศดีจะสามารถมองเห็น Jungfrau Joch (ยุงเฟรา Top of Europe) และ Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ได้ด้วย 
>> 2.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Mörel (เมอเรล) ไปที่ยอดเขา Riederalp ตรงนี้สามารถ Hiking เส้นทางง่าย ๆ ได้ เส้นทางป่าตรงนี้สวยงามมาก จุดนี้ไม่มีร้านอาหารมีแต่เป็นเหมือนรถตู้เก่า ๆ เปิดให้เราสามารถซื้อเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโต๊ะวางกลางแจ้งอยู่ 2-3 โต๊ะ แต่จะเปิดเฉพาะอากาศดีเท่านั้น 
>> 3.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Betten (เบทเท่น) ไปที่เมือง Bettmeralp (เบทเมอร์อัล์ป) แล้วต่อกระเช้าไปที่ยอดเขา Bettmerhorn (เบทเมอร์ฮอร์น) ตรงนี้มีร้านอาหารให้นั่งดื่มกาแฟดูวิวสวย ๆ ชิล ๆ ได้ด้วย ซึ่งวี่เลือกแบบที่ 3 เพราะหลงรักเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาที่ชื่อ Bettmeralp มาก และมาบ่อยมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“Bettmeralp” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ปลอดมลพิษคล้าย ๆ Zermatt เพราะมีแต่รถไฟฟ้าวิ่งเท่านั้น ไม่มีรถยนต์ที่เป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซลเลย ช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการเล่นสกี แต่หน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กัน ที่วี่ชอบมากเพราะบ้านจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แม้กระทั่งโรงแรม หรือ airbnb ก็จะทรงเดียวกันหมดเลย ที่สถานี Betten สามารถซื้อตั๋ว 3 days pass ได้ในราคา 45 ฟรังค์ (ถ้ามีบัตรครึ่งราคา) ถ้าไม่มีราคาเต็มคือ 65 ฟรังค์ สำหรับวี่ว่าราคาเหมาะสมนะ เพราะสามารถขึ้นกระเช้าในระแวกนั้นฟรี และขึ้นรถบัส-รถไฟระแวกนั้นฟรีทั้งหมด

ที่วี่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่มาชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของธารน้ำแข็ง Aletsch เพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่ามาหลายครั้งมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจเพื่อมา Hiking โดยเฉพาะ และว่ากันว่ามีหลายเส้นทางที่สวย แต่วี่สนใจอยู่ 2 เส้นทาง คือ 

>> เส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) เส้นทางสันเขา ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) กับเส้นทางที่เรียบขนานธารน้ำแข็งหรือเส้นทาง 360 องศา ‘Panorama’ เป็นเส้นทางที่เราจะเดินใกล้ธารน้ำแข็งได้มากที่สุด มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร แต่เดินจริง GPS จับได้ระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมกับการพักเกือบ 6 ชั่วโมง วี่เองก็กลัวไม่ไหว...ประกอบกับดูพยากรณ์อากาศบอกว่าสักช่วงบ่ายสามจะมีพายุฝน เลยชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหน ซึ่งเส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) คือเดินบนสันเขาได้วิวมุมสูง ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตร แต่เป็นการเดินขึ้นและลงแบบสุดแรง และถ้าฟ้าไม่เปิดจะมองไม่เห็นอะไร ส่วนอีกทางมีระยะทางยาว และเส้นทางช่วงต้น ๆ จะเดินยากนิดหน่อย ใช้เวลานาน ซึ่งไม่รู้จะทันบ่ายสามก่อนพายุเข้าไหม ถ้าไม่ทันจะไม่สนุกแน่เพราะจะเจอพายุบนเขา สรุปวี่เลยเลือกเส้นทางนี้ เพราะวี่มีความต้องการที่จะเข้าใกล้ธารน้ำแข็งให้มากที่สุด

>> เส้นทาง ‘360 องศา panorama’ เริ่มจาก Bettmerhorn ที่ความสูง 2,858 เมตรจากระดับน้ำทะเล อ้อมไปด้านหลังของยอดเขา Eggishorn (เอกิสฮอร์น) ผ่านทะเลสาป Vordersee มาจบที่สถานีกระเช้า Fiescheralp ที่ความสูง 2,212 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อลงมาที่เมือง Fiesch และนั่งรถบัสหรือรถไฟ ก็ได้กลับมาที่เมือง Betten เพื่อมานั่งกระเช้าขึ้นมาที่ Bettmeralp เพราะโรงแรมอยู่ที่นี่ ถึงแม้ระยะทางมันจะยาวแต่วิวมันว๊าวมันสวยสะกดมากกกกก!! มีล้านให้เต็มล้านเลยแหละ 

ส่วนคำเตือนของเส้นทางนี้คือไม่เหมาะกับคนที่เวียนหัวง่าย เพราะบางช่วงบางตอนทางแคบ ตัดจากทางเดินคือเป็นผาและตัดตรงลงพื้น ด้วยความสูงขนาดนี้คงไม่ต้องบอกเนาะว่าตกมาจะเป็นไง... ดังนั้นจึงมีป้ายเตือนก่อนตรงจุดตั้งต้น และแนะนำควรใส่รองเท้า Hiking เพราะพื้นผิวของเส้นทางมีความหลากหลายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน ต่อมาก็ลงมาถึงสถานีกระเช้าช่วง 4 โมงเย็น พายุกำลังโหม ทำให้กระเช้าเล็กที่นั่งเกิดการแกว่งไปมาเพราะลม เดินสัก 2 กิโลเมตรสุดท้าย ก็เกิดลมแรง ทั้งฝน ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ทั้งหนาว ความรู้สึกของขาเรามันเหมือนหนักสักร้อยกิโล ยกเหมือนจะไม่ขึ้น เหมือนจะเดินไม่รอด แต่ในที่สุดวี่ก็ทำได้สำเร็จและกลับมาถึงโรงแรม นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปในวันนี้ มันเติมเต็มความรู้สึกดีมาก และมีความสุขมากจริง ๆ

วี่รักบรรยากาศหมู่บ้าน Bettmeralp รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายและสบายใจ ชอบขึ้นไปนั่งดูธารน้ำแข็ง นั่งดูได้ทีละนาน ๆ ไม่รู้จักเบื่อเลย ยังนึกไปด้วยซ้ำว่าเราเป็นแค่คนซึ่งถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เราก็ตัวเล็กนิดเดียว และเราไม่สามารถที่จะงัดข้อกับธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ได้เลย ธรรมชาติบางครั้งก็ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน แต่บางคราก็อาจจะน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน...


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน

Tessin (เทสซิน) ในภาษาเยอรมันหรือ Ticino (ทิชีโน่) ในภาษาอิตาลี เป็นรัฐเดียวในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ใช้ภาษาอิตาลี และอยู่ติดกับทางชายแดนอิตาลี มีประชากร 351.491 คนจากสถิติเมื่อปี 2019 เมืองหลักคือเมือง Bellinzona (เบลลินโซน่า) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือเมือง Lugano (ลูกาโน่) 

Tessin เป็นรัฐที่คนสวิสเองนิยมไปพักร้อนกันมากในวันหยุดพักผ่อน เพราะบรรยากาศและอากาศเป็นหลัก สำเนียงอิตาเลียน, อาหาร, สถาปัตยกรรม, ทัศนคติและไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลายกว่าทุกที่ในสวิสเซอร์แลนด์ แถมอากาศจะค่อนไปทางอบอุ่นมีแดดมากกว่ารัฐทางเหนือเช่น Zürich (ซูริค) เข้าเขต Tessin เมื่อไหร่ก็จะเห็นพวกต้นปาล์มและต้นไม้เขตร้อนอื่น ๆ เหมือนว่าเราไปต่างประเทศเลยทีเดียว 

ที่พูดถึงรัฐนี้เพราะพอดีว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนวี่มี Vacation บวกวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วยเกือบสองอาทิตย์ เลยลงไปเที่ยวทางใต้ ก็คือรัฐ Tessin เนี่ยแหละ และได้มีโอกาสไป Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ซึ่งปี 2019 ได้ไปมาครั้งหนึ่งก็รู้สึกประทับใจและคิดอยู่เสมอว่าจะต้องหาโอกาสไปอีกให้ได้ จนประจวบเหมาะว่าในกลุ่มลงมติกันว่าจะไปแต่ประสบการณ์ครั้งนี้มันน่าจดจำ และสวยงามกว่าคราวก่อนก็ตรงที่ได้ Hiking ด้วย

ไฮไลต์ของ Verzasca Valley ก็น่าจะเป็นสะพานหิน Ponte del Salti ที่ปกติคนจะแน่นมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเซีย รวมถึงคนไทยด้วย แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดเลยมีคนสวิสซะเยอะ (แต่ก็ยังน้อยถ้าเทียบกับสถานการณ์ปกติที่มีนักท่องเที่ยว) ในหน้าร้อนคนชอบมาที่สะพานเพื่อกระโดดลงไปที่ลำธาร ถึงแม้น้ำจะเย็นมากแต่ก็จะมีคนเล่นน้ำ ดำน้ำตลอด ตามโขดหินก็มีคนนอนอาบแดด นั่งเล่นเป็นภาพที่เห็นจนชินตา 

แต่วี่ไม่ได้ไปแค่ตรงนี้หรอก เมื่อปี 2019 เคยไปมาแล้วตอนหน้าร้อนเลยไม่ค่อยได้เก็บเกี่ยวอะไรมากเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เรานั่ง Postauto (โพสต์เอาโต้) หรือรถบัสสีเหลืองสาย 321 จากป้าย Lavertezzo, Monda ไปสองป้าย ไปลงที่ป้าย Brione (Verzasca) ความบังเอิญทำให้พบกับความสวยงามแท้ ๆ เพราะวี่ลงผิดป้าย ตอนแรกกะจะไปไกลกว่านี้ตรงจุดเริ่มต้นคือ Sonogno ซึ่งเป็นเส้นทาง Hiking ที่มีระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร แต่พอมาดูข้อมูลคือเขาว่ากันว่าช่วง Brione ถึง Lavertezzo คือช่วงที่วิวสวยที่สุด วี่รู้สึกโชคดีมากที่ลงผิด

จะบอกว่าเดินแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว เพราะมีเด็กน้อยไปด้วย 2 คน และเส้นทางค่อนข้างเป็นเส้นทางธรรมชาติ วี่หมายถึงทางเดินบางช่วงเป็นหินที่มีน้ำเซาะผ่านอาจลื่นนิด ๆ บางช่วงบนพื้นคือมีรากไม้เยอะมากหากเดินไม่ระวังอาจมีสะดุดล้มได้ง่าย ๆ แต่คือมันดีแบบที่สุดและคิดว่าต้องไปอีกแน่ ๆ วิวทุกช่วงทุกตอนมันว๊าว !! มีสิบให้เต็มสิบ มีร้อยก็ให้เต็มร้อยนะ พื้นที่มีโขดหิน หรือพื้นที่ตรงลำธารทำให้เราได้นั่งพักและปิ๊กนิกเป็นระยะ ๆ ระหว่างทางเราก็จะเห็นน้ำสีเขียวมรกต โขดหินหลากสี สลับกับป่าสีเขียวขจีและน้ำตกน้อย เวลาเรายืนอยู่ใกล้ ๆ น้ำตก แล้วน้ำกระเซ็นมาที่หน้ามันรู้สึกชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ

เวลาวี่ไป Hiking มักจะชอบเข้าไปยืนใกล้ ๆ ต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด และผ่อนลมออกให้เต็มที่เป็นการเปลี่ยนถ่ายพลังงานอย่างนึง และกลิ่นป่าธรรมชาติตรงนี้ก็หอมมากจริง ๆ ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

Hiking บนสันเขาสวิส เต็มอิ่มไปกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สวยสะกดและน่าประทับใจ เส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่า “ควรมาสักครั้งในชีวิต”

ถ้าพูดถึงการพักผ่อนหย่อนใจหรือใช้เวลาว่างของคนสวิสแล้ว จะต้องมี Hikking หรือ Trekking การเดินท่องเที่ยวตามเทือกเขาลำเนาไพรรวมอยู่ด้วยแน่ ๆ และสวิสก็ขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่แล้ว ทำให้การเดินป่าเดินเขาไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่าเส้นทาง Hiking จะใช้เวลา 2-8 ชั่วโมงในการเดินทางไปและกลับ โดยมีปลายทางสิ้นสุดคือกลับมาที่จุดเริ่มต้น การเดินอาจจะเดินไปและกลับบนเส้นทางเดิม หรือเดินเป็นวงรอบกลับมาที่จุดเดิม หรือบางเส้นทาง Hiking อาจจะมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดเป็นคนละที่ แต่เส้นทาง Hiking มีการจัดตามระดับความฟิตของแต่ละคนอีกด้วย

มาดูระดับความฟิต และป้ายบอกเส้นทางแบบคร่าว ๆ กัน 

1. T1 Hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีเหลือง
2. T2 Mountain hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีขาวแดงขาว
3. T3 Challenging mountain hiking สีขาวแดงขาวเหมือน T2 
4. T4 Alpine hiking จะเป็นสีขาวฟ้าขาว 
5. T5 Challenging Alpine hiking สีขาวฟ้าขาวเหมือน T4
6. T6 Difficult Alpine hiking ส่วนใหญ่ไม่มีป้ายบอกเป็นกิจลักษณะ
7. Winter hiking ป้ายจะเป็นสีชมพู

เอาหล่ะ !! มาถึงเส้นทางที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ดีกว่า วี่เลือกเป็นเส้นทางสันเขาระดับ T3 เหมือนว่าจะง่าย ๆ แต่ทางขึ้น ๆ ลง ๆ เอาเรื่องเพราะเป็นการข้ามจากอีกเขามาอีกเขา แต่รับรองว่าทำให้หัวใจเต้นรัว ๆ ได้เลยทีเดียว 

ส่วนใหญ่เวลาวี่มาที่นี่จะขับรถมาที่ Schwyz (ชวีส)-Schlatti (ชรัตตี้) เป็นรัฐตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว จากตรงนี้เราจะเจอกับ Funicular Railway ทางรถรางที่มีเส้นทางที่ชันที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากใช้เวลาในการวางแผนและก่อสร้างจนแล้วเสร็จใช้เวลาประมาณ 14 ปี ก็ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อ 15 ธันวาคม 2017 แทนที่เก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1933 วิ่งที่ความสูง 744 เมตรจากระดับน้ำทะเลระหว่างเมือง Schywz Schlatti ไปยังหมู่บ้านในหุบเขา Stoos โดยมีความลาดเอียง 110% เลยทีเดียว และสามารถจุคนได้ถึงครั้งละ 136 คน โดยทำลายสถิติโลกก่อนหน้านี้ ที่เคยเป็นของเป็นของ Gelmerbahn (เกลเมอร์บาน) ที่เมือง Bern ของสวิส โดยมีความชันอยู่ที่ 106% ส่วนอันดับที่สามอยู่ที่อังกฤษใน East Hill Cliff Railway โดยมีความชันอยู่ที่ 78%

ส่วนใหญ่การมาที่หมู่บ้าน Stoos ก็มักจะมีจุดหมายปลายทางที่ Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) ยอดเขาที่อยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ถึง 10 ทะเลสาบด้วยกัน (ถ้าอากาศดีฟ้าเปิดนะ) เช่น Vierwaldstättersee (เฟียร์วัลชแต๊ตเตอร์เซ), Zugersee (ซูเกอร์เซ), Ägerisee (แอเกอร์รี่เซ) และอื่น ๆ แถมยังมีร้านอาหารที่นั่งได้ทั้งด้านในและด้านนอกสำหรับดื่มกาแฟชิล ๆ ยามมีแดด 

อ้อ !! แล้วมีชาวบ้านแถวนี้เอาชีสภูเขามาขายด้วย จะแอบบอกว่าอร่อยมาก ๆ โดยจากหมู่บ้าน Stoos เราจะต้องนั่ง chairlift (กระเช้าห้อยขา 6 ที่นั่ง)  ขึ้นไปสู่ยอดเขาอีกสองต่อถึงจะไปถึงยอดเขา Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) แต่วี่ไม่ได้ไปแบบนั้นหลังจากนั่ง funicular railway มาที่หมู่บ้าน Stoos แล้ววี่เดินไปขึ้น Chairlift เพื่อขึ้นไปที่ยอดเขา Klingenstock (คลิ้งเง่นชต๊อก) เพื่อเดินข้ามเขาไปที่ Fronalpstock นั่นแหล่ะ 

การเดินบนสันเขาจาก Klingenstock ไป Fronalpstock ระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร และจะมีการไต่ระดับความสูงประมาณ 402 เมตร เส้นทางค่อนข้างเล็ก บางช่วงบางตอนที่เป็นทางอันตรายก็มีราวให้เกาะเดินด้วย คนสวิสจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่วี่ใช้เวลารวมพักกินข้าวและหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ รวมแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ 

วิวบนสันเขานี้สามารถใช้คำว่า ‘Breathtaking’ ได้จริง ๆ สวยสะกดและน่าประทับใจที่สุด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่าควรมาสักครั้งในชีวิต ส่วนตัววี่เองนั้นมาทุกปีเพื่อ Hiking เป็น The must คือเป็นทริปบังคับของตัวเอง เพราะรักบรรยากาศและวิวที่นี่มาก ตอนที่พาแม่มา แม่บอกว่าที่นี่สวยกว่า Jungfrau Joch (ยุงเฟรายอค) อีกนะ (แต่นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น) อยากรู้ว่าจริงไหมก็แนะนำให้มาลองด้วยตัวเองสักครั้งเถอะ

ส่วนราคาค่าขึ้นก็ไม่แพงเลยจริง ๆ ราคาอยู่ที่ 46 สวิสฟรังค์ หรือประมาณ 1,600 บาทไทย ถ้ามีบัตรครึ่งราคา ก็อยู่ที่ 36 ฟรังค์ หรือประมาณ 1,200 บาทเท่านั้น ถ้าเทียบกับวิวและบรรยากาศต้องบอกว่าเกินคุ้มจริง ๆ และเป็นการขึ้น funicular railway หนึ่งต่อบวก chairlift อีกสองต่อ คือคุ้มสุด ๆ 

และแนะนำว่าถ้าจะขึ้นไปเดินบนสันเขาเส้นทาง Klingenstock-Fronalpstock ควรจะใส่รองเท้าสำหรับ Hiking และเตรียมน้ำดื่มสำหรับระหว่างทาง เสื้อกันลม และเสื้อกันหนาวให้พร้อมเพราะอยู่ที่ความสูงถึง 1920 เมตรจากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว อากาศอาจบาง ๆ นิดหน่อย ถ้าไปวันที่อากาศดี ฟ้าเปิดจะมองเห็นความสวยงามไปได้ไกลสุดลูกตาเลยทีเดียว 

บางครั้งการพาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติมันเยียวยาชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวายได้ดีเหลือเกิน นี่แหล่ะธรรมชาติบำบัด เวลาเราออกเดินทางและเมื่อตอนเย็นที่เรากลับบ้านหัวเราอาจจะยุ่ง ๆ รองเท้าเราอาจจะเลอะเทอะ แต่แบตเตอรี่หัวใจของเรามันจะเต็มเปี่ยมเลยนะ ลองดูสิ


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top